พูดเลยว่าตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 มีใครบ้างที่ไม่เครียด หลายคนประสบกับภาวะความไม่มั่นคง ทั้งในด้านการงานและชีวิตส่วนตัว ธุรกิจเกิดอาการชะงักและไม่สามารถดำเนินกิจกรรมต่อได้ สิ่งที่กระตุ้นความเครียดของเราที่สุดในสถานการณ์นี้ คงมาจากการที่ไม่สามารถบอกได้เลยว่าสิ่งต่างๆ จะกลับมาดีขึ้นหรือเป็นเหมือนเดิมได้ในตอนไหน
ความเครียดที่สะสมมานานส่งผลกระทบกับร่างกายของเราในแง่ลบ บางคนนอนไม่หลับ กินข้าวไม่ลง น้ำหนักลด หรือบางคนก็มีอาการตรงกันข้าม แต่ที่แน่นอนคือความเครียดจะทำให้พฤติกรรมของคนเราเปลี่ยนไป และทำให้เราอ่อนไหวมากขึ้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะสำรวจตัวเองอย่างสม่ำเสมอว่าตอนนี้ระดับความเครียดของเราเป็นอย่างไร และหาทางลดเลเวลของมันลงมา
เมื่อเกิดอาการเครียด เราสามารถฝึกตัวเองตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ได้
1. ตระหนักว่าความเครียดกำลังเป็นปัญหา
สำรวจอาการป่วยหรือเหนื่อยล้าของตัวเองว่าเป็นผลมาจากอาการเครียดหรือไม่ เมื่อระดับความเครียดสูง ร่างกายของเราจะเป็นสิ่งแรกที่ส่งสัญญาณให้เรารับรู้ สัญญาณดังกล่าวสามารถมาในรูปแบบของอาการกล้ามเนื้อหดเกร็ง เหนื่อยล้ากว่าปกติ ปวดหัว หรือไมเกรน เป็นต้น
2. หาสาเหตุของความเครียด
พยายามหาว่าปัจจัยหรือเรื่องใดในชีวิตที่ทำให้เราเครียด โดยแบ่งเหตุผลที่เป็นไปได้ไว้ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีทางแก้ปัญหาชัดเจน กลุ่มที่ใช้เวลาในการแก้ปัญหา และกลุ่มที่ทำอะไรกับมันไม่ได้ ถ้าสาเหตุความเครียดของเรามาจาก 2 กลุ่มหลัง สิ่งเดียวที่เราทำได้ก็คือการตระหนักและพยายามปล่อยมันไป
3. ทบทวนไลฟ์สไตล์ของตัวเอง
เพื่อทำความเข้าใจว่าตอนนี้สิ่งที่เรารับผิดชอบอยู่มันเยอะเกินไปหรือไม่ มีอะไรที่เราทำอยู่แต่สามารถแบ่งให้คนอื่นทำได้บ้าง หรืออะไรที่เราสามารถทำได้แบบไม่ต้องเร่งรีบบ้าง การจะตอบคำถามเหล่านี้ เราอาจจะต้องกลับไปจัดลำดับความสำคัญของโปรเจคต่างๆ ในชีวิต อะไรควรทำก่อนหรือหลัง พอรู้แล้วเราจะวางความเครียดจากการต้องทำอะไรหลายๆ อย่างไปพร้อมกันได้
นอกจากนี้การรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการต่อสู้กับความเครียด เพราะสุขภาพร่างกายกับสุขภาพจิตทำงานเกี่ยวเนื่องกัน หากร่างกายดี จิตใจก็จะดีไปด้วย
ข้อมูลจาก Mental Health Foundation